หน้าแรก Home Business Western Digital เสี่ยงต้องจ่ายกว่า 553 ล้านดอลลาร์ หลังศาลปฏิเสธคำร้อง

Western Digital เสี่ยงต้องจ่ายกว่า 553 ล้านดอลลาร์ หลังศาลปฏิเสธคำร้อง

บริษัท Western Digital (WD) มีเวลาน้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์ในการวางหลักประกันหรือชำระเงินจำนวน 553 ล้านดอลลาร์ (ประมาณราวๆ 18,640 ล้านบาท) หลังจากศาลรัฐบาลกลางปฏิเสธคำร้องขอให้ชะลอการบังคับคดีของบริษัท ขณะที่ WD กำลังพยายามอุทธรณ์คำตัดสินเกี่ยวกับคดีละเมิดสิทธิบัตร

ก่อนหน้านี้ คณะลูกขุนในรัฐแคลิฟอร์เนียตัดสินว่า WD ละเมิดสิทธิบัตรด้านการเข้ารหัสข้อมูลของบริษัท SPEX Technologies เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และมีคำสั่งให้จ่ายค่าเสียหายจำนวน 316 ล้านดอลลาร์ ต่อมาในเดือนมกราคม ผู้พิพากษาเขต James Selna ได้ตัดสินให้ WD ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 237 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมที่ต้องชำระพุ่งสูงกว่า 553 ล้านดอลลาร์

WD ร้องขอให้ศาลชะลอการชำระเงิน แต่ถูกปฏิเสธ

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ WD ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ชะลอคำสั่งชำระค่าเสียหายออกไปก่อน จนกว่าจะมีการตัดสินเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ และคำร้องให้เพิกถอนคำตัดสินเกี่ยวกับสิทธิบัตรเมื่อปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม กระบวนการทางกฎหมายดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีข้อสรุป

ในการพิจารณาคดีปี 2024 ศาลพบว่าอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลของ WD เช่น ผลิตภัณฑ์บางรุ่นในตระกูล Ultrastar และ My Book ได้ละเมิดสิทธิบัตรหมายเลข 6,088,802 ของ SPEX ซึ่งเป็นสิทธิบัตรที่ว่าด้วย “อุปกรณ์ต่อพ่วงที่มีฟังก์ชันความปลอดภัยในตัว” โดยสิทธิบัตรนี้อธิบายถึงอุปกรณ์ เช่น ฮาร์ดไดรฟ์พกพา ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยบนข้อมูลที่ถูกส่งไปหรือมาจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลัก

ศาลยืนยันคำตัดสิน ให้ WD ชำระหนี้ภายใน 7 วัน

ตามรายงานของ Law360 ซึ่งเป็นบริการข่าวด้านกฎหมายระบุว่า WD โต้แย้งว่า SPEX ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอุปกรณ์ของ WD ทำงาน “ในลักษณะเดียวกันกับที่ระบุไว้ ในข้อเรียกร้องของสิทธิบัตร” ซึ่งจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 1997 อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา Selna ไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งดังกล่าว และเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ได้มีคำสั่งให้ WD มีเวลาเพียง 7 วันในการดำเนินการหารือเพิ่มเติมและ/หรือยื่นหลักประกัน ก่อนที่หนี้สินกว่า 553 ล้านดอลลาร์จะถึงกำหนดชำระ

คดีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีสำคัญในวงการเทคโนโลยี ที่สะท้อนถึงความเข้มข้นของข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร และอาจส่งผลต่อทิศทางของอุตสาหกรรมอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในอนาคต

รายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ – Theregister